เมื่อผู้เป็นที่รักเสียชีวิต เรามักคิดว่าร่างกายของพวกเขาควรได้พักผ่อนในที่พำนักแห่งสุดท้าย คนส่วนใหญ่ได้แค่ทำใจ จดจำและระลึกถึง แต่นั่น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นคนยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจล้นฟ้า เจ้าชายเปโตร (1320-1367) ทรงเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าอัลฟองโซที่ 4 แห่งโปรตุเกส เมื่อเจ้าชายเติบใหญ่ ทรงเข้าพิธีสมรสกับเจ้าหญิงจากแคว้นคาสตีลนามว่าคอนสแตนซา เมื่อเจ้าสาวเดินทางมาพร้อมกับกลุ่มนางสนองพระโอษฐ์ เจ้าชายถึงกลับตะลึงละสายตาไม่ลง ทรงตกหลุมรักกับสตรีนางหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าสาว แต่เป็นนางสนองพระโอษฐ์นามว่าอิเนส เด กัสโตร
อิเนส เป็นสาวงามจากแคว้นกาลิเซีย เธอเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางใหญ่และแม้จะได้รับการยอมรับจากบิดา แต่เธอก็ไม่มีศักดิ์ศรีสมกันกับเจ้าชายรัชทายาท เปโตรไม่สนใจภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับอิเนสจนข่าวแพร่ไปไกลกลายเป็นที่ไม่พอใจของพระบิดา อิเนสมีลูกนอกสมรสร่วมกับพระองค์ถึงสามคน แม้เด็กทั้งสามจะแข็งแรงดีแต่ทั้งสามก็ไม่ใช่ทายาทที่ถูกต้องและไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์โปรตุเกสได้ กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 กดดันลูกชายอย่างหนักจนในที่สุดคอนสแตนซาก็ตั้งท้องและคลอดพระโอรส – เจ้าชายเฟอร์ดินัน คอนสแตนซาผู้โชคร้ายสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นานเพราะอาการแทรกซ้อนหลังการคลอดลูก
การเสียชีวิตของคอนสแตนซาทำให้ตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทว่างลง เจ้าชายเปโตรปฎิเสธจะสมรสใหม่และขอให้พระบิดายอมให้พระองค์สมรสกับอิเนส กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 ไม่พอพระทัยในข้อเสนอนี้ นอกจากอิเนสจะเป็นเพียงลูกสาวนอกสมรส ตระกูลของเธอยังไม่ได้มีความสำคัญมากพอ อิทธิพลของอิเนสเหนือเจ้าชายทำให้กษัตริย์แห่งโปรตุเกสทรงเป็นกังวล ลูกชายของพระองค์รักใคร่หลุ่มหลงสตรีนางนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดมอบตำแหน่งสำคัญให้บรรดาพี่ชายของเธอและทำให้อิทธิพลของตระกูลนี้เริ่มมีเหนือราชสำนัก
เพื่อเป็นการแก้ปัญหา กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 จึงตัดสินใจส่งอิเนสไปอยู่ที่สำนักคอนแวนต์ แต่แค่นั้นไม่พอจะตัดสายสัมพันธ์รักของเจ้าชาย เปโตรไม่ถอดใจ พระองค์ปฎิเสธเจ้าหญิงมากมาย และยังคงลอบพบอิเนสซึ่งเป็นรักเดียวของพระองค์ ทรงกระทำการอุกอาจ แอบแต่งงานอย่างลับๆ กับหญิงสาว เมื่อกษัตริย์อัลฟองโซรู้เข้า ก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก หากระยะทางไม่สามารถขวางกั้นลูกชาย ถ้างั้นความตายอาจเป็นทางออก กษัตริย์แห่งโปรตุเกสสั่งให้นักฆ่าสามคนเข้าไปสังหารอิเนสถึงในคอนแวนต์ อิเนสถูกจับตัดคอต่อหน้าลูกๆ ทั้งสาม สร้างความตกใจให้กับผู้คนมากมาย เมื่อเจ้าชายทราบเรื่องนี้ พระองค์ทำใจไม่ได้ ทรงรวบรวมกองทัพขึ้นหวังชิงบัลลังก์กับพระบิดา แต่ปรากฎว่ากษัตริย์อัลฟองโซประชวรและสวรรคตลงเสียก่อน
เปโตรตอนนี้คือกษัตรย์ พระองค์ชำระแค้นด้วยการสั่งจับกุมนักฆ่า ควักหัวใจออกมาต่อหน้าธารกำนัลเพื่อเป็นการตอบแทนการกระทำที่ไร้หัวใจของพวกเขา เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่เมื่อกษัตริย์เปโตรให้ขุดศพของอิเนสขึ้นมา เย็บหัวของนางกลับเข้าไป และตั้งศพของคนรักให้เป็นราชินี ทรงสวมเครื่องทรงที่ดีที่สุด พานางไปนั่งบนบัลลังก์ และสั่งให้ขุนนางทุกคนทำความเคารพกับศพของราชินีด้วยการจุมพิตที่พระหัตถ์
เปโตเขียนจดหมาย ขอให้พระสันตปาปายอมรับศพของอิเนสในฐานะราชินีแต่ถูกปฎิเสธ สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4 กล่าวว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าทั้งสองพระองค์ได้ทำการอภิเษกสมรสในขณะมีชีวิตอยู่ และการแต่งงานกับศพผู้เสียชีวิตไม่สามารถทำได้ การปฎิเสธของคริสตจักรคาทอลิกทำให้ลูกๆ ทั้งสามไม่ได้รับการรับรองเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่สามารถสืบสายราชบัลลังก์โปรตุเกส
โชคยังดีที่เปโตรสามารถทำใจได้ในท้ายสุด เขารับลูกๆ ทั้งสามมาดูแลอย่างดี ตั้งลูกชายทั้งสองให้ได้รับตำแหน่งสำคัญ สำหรับลูกสาว ก็ได้แต่งงานกับขุนนางสูงศักดิ์และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเคานต์เตส เปโตรสั่งให้แกะสลักโลงศพของอิเนสอย่างสวยงามด้วยหินอ่อน สิบปีให้หลังเมื่อทรงสวรรคต โลงศพของพระองค์ถูกแกะสลักในลักษณะคล้ายกัน ทรงมีรับสั่งให้ตั้งโลงศพของทั้งสองใว้ตรงข้ามกันกันเพื่อให้คู่รักสามารถลุกขึ้นจากโลงศพมาสบตากันได้ในชีวิตหลังความตาย
เรื่องราวแสนเศร้าปนขนลุกของเปโตรและอิเนส ยังคงเป็นข้อถกเถียงของนักประวัติศาสตร์และมีความโน้มเอียงไปในทางตำนานมากกว่าเรื่องจริง ไม่มีหลักฐานร่วมสมัยกล่าวถึงการขุดศพขึ้นมาตั้งบนบัลลังก์ ข้อความเกี่ยวกับการกระทำอันบ้าระห่ำมีปรากฎครั้งแรกในบทละครของ Nise Laureada เรื่อง Jerónimo Bermúdez ซึ่งถูกเขียนขึ้นในปี 1577 หลายคนเชื่อว่าหลุมศพของทั้งสองอาจไม่ได้ตั้งตรงข้ามกันแต่แรกด้วยซ้ำ แต่ถูกขยับให้มาอยู่ตรงข้ามกันเพราะตำนานนี้โด่งดังถูกตีพิมพ์ในหลายประเทศ นิตยสารของมหาวิทยาลัยดับลิน (The Dublin University Magazine) เขียนถึงเรื่องนี้ในปี 1857 ว่า
“เปโตรตั้งศพของอิเนสบนบัลลังก์เป็นเวลาสองปี คือในปี 1355-57 ทรงนั่งบัลลังก์ข้างๆ ศพของราชินีอันเป็นที่รัก เขาสวมชุดสวยงามที่สุดให้เธอ วางมงกุฎของราชินีเหนือศีรษะที่ถูกเย็บติดกับตัว พระองค์สั่งให้ขุนนางทำความเคารพด้วยการจุมพิตมือที่เย็นชืดไร้ชีวิต ทรงจับตามองทุกคนไม่ให้แสดงท่าทีรังเกียจต่อสตรีที่ทรงรักสุดหัวใจ”
References:
