เจ้าสาวของแดร็กคูล่าเป็นใคร? มีความจริงอะไรสะท้อนในวรรณกรรมอายุ 120 ปี ของบราม สโตกเกอร์

สวยงาม น่าหลงใหล และอันตราย คือส่วนผสมที่ลงตัวเมื่อกล่าวถึงเจ้าสาวของเคาท์แดร็กคูล่า นอกจากบทผีดูดเลือดทรงเสนห์ เจ้าสาวของท่านเคาท์ยังสะท้อนความจริงน่าสนใจของผู้หญิงที่ต้องอาศัยหลบซ่อนใต้เงาชายในสมัยวิกตอเรียน

ในงานเขียนเรื่อง แดร็กคูล่า(1897) ของ บราม สโตกเกอร์ นักเขียนชาวอังกฤษที่บอกเล่าเรื่องราวสยองขวัญของผีดูดเลือดในโรมาเนียที่เดินทางมาอังกฤษโดยมีฉากหลังเป็นบรรยากาศอึมครึมของยุควิกตอเรียน ความเป็นมาของเคาท์แดร็กคูล่า ถูกเล่าผ่านการผจญภัยของโจนาธาน ฮาเกอร์ – ทนายความหนุ่มจากลอนดอน ที่เดินทางไปปราสาทแดกคูล่าที่ทรานซิลเวเนีย เพื่อทำสัญญาเรื่องซื้อขายที่ดินในอังกฤษ

โจนาธานได้รับการต้อนรับจากท่านเคาท์ โดยกำชับแน่นหนาห้ามโจนาธานเดินสำรวจปราสาทตามลำพัง แน่นอนว่าทนายหนุ่มไม่ได้ทำตาม สิ่งหนึ่งที่หนุ่มอังกฤษพบหลังสำรวจปราสาท คือสามสาวทรงเสน่ห์ที่ถูกบรรยายในบทประพันธ์ว่า “สามพี่น้องสุดประหลาด (the weird sisters)”

เจ้าสาวของแดร็กคูล่า จากภาพยนต์ของผู้กำกับ Tod Browning

สโตเกอร์ไม่ได้กล่าวชัดว่าทั้งสามมีความสัมพันธ์เช่นไรกับเคาท์แดร็กคูล่า เพียงบอกว่าเป็นแวมไพร์สามตน สองในสามมีผมสีเข้ม คนสุดท้ายมีผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าและใบหน้าที่โจนาธานคุ้นตา แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ทั้งสามพยายามร่ายเสน่ห์โจนาธานแต่ถูกแดร็กคูล่าขวางไว้ ท่านเคาท์บอกกับสามสาว โจนาธานเป็นของเขาและให้เด็กทารกแก่ทั้งสามเป็นอาหาร

มีการตีความว่าสามสาวอาจเป็น น้องสาว ลูกสาว ภรรยาสาว หรือทั้งสามอย่างของแดร็กคูล่า อย่างไรก็ดีเมื่อบทประพันธ์ถูกนำมาเล่าเป็นเวอร์ชั่นหนังเป็นครั้งแรกในปี 1931 ผู้กำกับ Tod Browning เลือกจะเล่าเรื่องของสามแวมไพร์ในฐานะ “เจ้าสาว” (The Brides) ทั้งสามไม่มีบทพูดและปรากฏตัวมาเพียงไม่กี่นาที หลังจากนี้เมื่อ แดร็กคูล่า ถูกนำไปสร้างใหม่ในหลายเวอร์ชั่น สามพี่น้องสุดประหลาดจึงมีภาพจำติดตาในฐานะ เจ้าสาวของแดร็กคูล่า โดยมีการดัดแปลงให้ทั้งสามมีผมสีต่างกันไป ส่วนใหญ่เป็นสีบลอนด์ แดง และดำ โดยมักปรากฎตัวในชุดผ้าบางเบา มีลักษณ์ยั่วยวนคล้ายสัตว์ป่า ทั้งสามเชื่อฟังแดร็กคูล่าอย่างเคร่งครัด

เจ้าสาวของแดร็กคูล่า จากภาพยนต์ของผู้กำกับ Tod Browning

บราม สโตกเกอร์ กล่าวเพื่มในหนังสือเรื่องสั้น Dracula’s Guest and Other Weird Stories ว่าหนึ่งในแวมไพร์สาวของท่านเคาท์เป็นหญิงสูงศักดิ์ชื่อเคาน์เตสโกเลงเกนแห่งกราซ (เมืองหนึ่งในออสเตรีย) ทำให้เธอมีเชื้อสายทางเยอรมันไม่ใช่โรมาเนีย

ในภาพยนต์ชื่อดัง Van Helsing (2004) มีการเอ่ยนามของสามเจ้าสาวอย่างเป็นทางการว่า เวโรน่า(ผมสีดำ) มาริชก้า(ผมสีบลอน) และ อเลร่า(ผมสีแดง) โดยยกให้เวโรน่าเป็นเจ้าสาวคนแรก มีที่มาจากตระกูลสูงและอยู่ใกล้ชิดแดร็กคูล่ามากที่สุด มาริชก้าเป็นนักแสดงหรือนักเต้นทรงเสนห์ที่ได้รับการอุปถัมภ์จากท่านเคาท์ ในขณะที่อเลร่ามีที่มาเป็นปริศนา

มีความเชื่อว่าที่มาและตัวตนของสามสาวแวมไพร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการสะท้อนบทบาทของผู้หญิงในยุควิกตอเรียนที่บราม สโตกเกอร์ พบเห็น ก่อนตีความออกมาผ่านบทประพันธ์ ความจริงที่ว่าสามสาวถูกเก็บซ่อนไว้ในพื้นที่ลึกลับที่สุดของปราสาท บอกเล่าค่านิยมของเพศหญิง ที่ทำหน้าที่เป็นแม่และภรรยา โดยมีปัจจัยเชิงพื้นที่ให้อาศัยอยู่ในบ้าน (ปราสาท) ของฝ่ายชาย ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นเดียวเจ้าสาวแวมไพร์ถูกเก็บไว้ในห้องนอนจนกว่าฝ่ายชายจะเรียกหา

เจ้าสาวทั้งสามในภาพยนต์ Van Helsing (2004)

สโตกเกอร์เล่าว่าสามสาวพึ่งพิงอาหารที่ถูกเจียดมาจากเคาท์แดร็กคูล่า (หมายถึงเด็กทารกที่ท่านเคานท์นำมาเป็นให้เป็นอาหาร) สะท้อนข้อจำกัดของฝ่ายหญิงที่ขาดความสามารถในการทำอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง งานศึกษาเรื่อง “Feminist Thinking on Education in Victoria England” ของ Laura Schwartz กล่าวไว้ว่า การลงทุนเพื่อการศึกษาของสตรีเป็นเรื่องไม่คุ้มเสีย

“สังคมวิกตอเรียนเชื่อว่าความสามารถทางการศึกษาของผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายตั้งแต่กำเนิด สตรีมักถูกบดบังและชี้นำโดยอารมณ์ความรู้สึกและไม่สามารถตัดสินใจโดยใช้ตรรกะความจริงได้ มันจึงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์และโหดร้ายที่จะให้การศึกษาผู้หญิงมากไปกว่าเรื่องการเรือนและหน้าที่ความรับผิดชอบของความเป็นแม่และภรรยา”

เมื่อขาดโอกาสทางการศึกษา หนึ่งในอาชีพเพียงไม่กี่อย่างที่หญิงสาวสามารถกระทำได้ในยามขัดสนคือการใช้ร่างกายเพื่อขายบริการ สิ่งนี้ถูกนำเสนอผ่านท่าทางและบุคลิกของสามสาวที่ได้รับการตีความว่าเป็น “lady of the night” หรือ “สุภาพสตรีแห่งค่ำคืน” ผู้ไม่สามารถสู้แสงสว่างของดวงอาทิตย์

“เรื่องทางเพศ คือมูลค่าสูงสุดของผู้หญิงในสายตาผู้ชาย ในขณะที่ความสามารถในการทำงานหารายได้ คือมูลค่าสูงสุดของผู้ชายในสายตาผู้หญิง”

“Women and their sphere” บทความตีพิมพ์ในปี 1888 กล่าวไว้เช่นนี้เพื่อชี้ว่าอาชีพของผู้หญิงถูกจำกัดแค่การเป็นภรรยาหรือโสเภณี “ความงามและเสนห์ทางเพศคือสินค้าของผู้หญิง พวกเธอสามารถใช้สินทรัพย์เพื่อมองหาการแต่งงานหรือเข้าสู่วงการค้ากาม ขึ้นอยู่กับความสามารถและทางเลือกของเธอเอง”

Abriel Garrick เจ้าของบทความ Dracula’s Brides: Economic Seclusion, Prostitution, and Domestic Neglect ตีความการ “กลายเป็นแวมไพร์” ของสามสาว เช่นเดียวกับคำสาปของชนชั้นล่างที่ต้องดิ้นรนหาทางออกด้วยการใช้ร่างกายเพื่อหารายได้ การแสดงออกทางเพศที่เกินงามในบทประพันธ์ คือวิธีที่พวกเธอใช้หาเหยื่อเพื่อประทังความหิว

“การหลุดพ้นจากตราบาปมีเพียงความตาย นิยายของสโตกเกอร์ กล่าวถึงจุดจบของสามสาวหลังถูกแวน เฮลซิ่ง – นักล่าแวมไพร์และตัวเอกของเรื่อง ตอกลิ่มเข้าที่หัวใจ พวกเธอถูกเรียกว่า ‘มัน’ มาตลอด กระทั่งความตายทำให้เจ้าสาวแวมไพร์ ถูกกล่าวถึงในตอนสุดท้ายว่า ‘เธอ’ ”

References

Dracula’s Brides: Economic Seclusion, Prostitution, and Domestic Neglect

Dracula’s Three Brides

Brides of Dracula

Share This:

Share on facebook
Share on twitter

You may also like